Echo, 2018, acrylic letters, spray paint and acrylic paint
เทศกาลศิลปะขอนแก่นแม่นอีหลี: เหลี่ยม มาบ มาบ #1
ศิลปะชุมชน ผู้คนมีส่วนร่วม
๖ - ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๑
อาคาร GF, Huak Society, YMD Art Space จังหวัดขอนแก่น
เปิดนิทรรศการ วันเสาร์ที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๑
เทศกาลศิลปะขอนแก่นแม่นอีหลี: เหลี่ยม มาบ มาบ # 1 มีจุดมุ่งหมายและเจตจำนงที่จะเปิดพื้นที่การแสดงออกทางศิลปะแขนงต่างๆที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ เชื่อมโยงกับชุมชน ในบริบทของศิลปวัฒนธรรมย่อยของผู้คนที่ถูกผลักดันออกไปจากกระแสหลักของการพัฒนา เพื่อให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางสังคม ศิลปะ วัฒนธรรม ที่ศิลปินได้แสดงออกในฐานะภาพแทนของผู้คนเหล่านั้น อีกทั้งผู้คนในชุมชนต่างๆ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงออกในสิทธิทางศิลปวัฒนธรรมอย่างเปิดเผยชัดเจน ในฐานะปฏิบัติการเชิงศิลปะ ในรูปแบบกระบวนการต่างๆทางศิลปะ
ศิลปะได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือกลไกในการรับใช้ฝ่ายปกครอง ในการสร้างความเป็นชาติและรักษาสถานะของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของการสมานฉันท์สามัคคี เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับราษฎร ในทางกลับกันศิลปวัฒนธรรมที่เกิดจากสามัญชนคนธรรมดา กลับเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับการต่อต้านการเมืองแบบผูกขาดการใช้อำนาจหรือเผด็จการ 'กบฎผู้มีบุญ' หรือ 'กบฎผีบุญ' เกิดขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๐๑ ถึง ๑๙๐๒ เกิดจากปฏิกิริยาของคนในท้องถิ่นของอีสานที่ต่อต้านนโยบายของรัฐ ในการเพิ่มภาษี การปฎิรูปการปกครอง การขูดรีด การเอารัดเอาเปรียบ การแทรกแซงวัฒนธรรมจากภาครัฐ นโยบายเหล่านี้ทำให้พวกเขาไม่ได้รับความสงบสุข การต่อต้านนี้ได้แผ่ขยายไปยัง ๑๓ จังหวัดในอีสาน นำโดยแกนนำจำนวน ๖๐ คน ซึ่งได้แสดงเจตนารมณ์และเล่าเรื่องราวของพวกเขาผ่านทางหมอลำ หมอลำเป็นศิลปะการแสดงของคนอีสาน ที่ผสมผสานพิธีกรรม ความเชื่อและการบันเทิงเข้าด้วยกัน หมอลำได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น แม้ว่ากบฎผู้มีบุญจะถูกปราบปรามในช่วงเวลาอันสั้น แต่จิตวิญญานขบถยังคงอยู่ในภูมิภาคอีสานและการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อ การต่อสู้กับความอยุติธรรมต่างๆ เพื่อให้ได้ซึ่งสิทธิและผลประโยชน์ทางการเมือง สังคม
การไม่หยุดนิ่งหรือเพิกเฉยเป็นสิ่งร่วมสมัย ในขณะที่วิถีศิลปวัฒนธรรมหลักของรัฐ กลายเป็นกระแสบริโภคหลัก การปกครองรวมศูนย์จากส่วนกลางที่พยายามควบคุมรวบอำนาจศิลปวัฒนธรรม การกดทับและลดทอนคุณค่า ขนบธรรมเนียมและวิถีชุมชน จนทำให้ผู้คนในท้องถิ่นไม่สามารถที่จะแสดงออกถึงอัตลักษณ์และนิยามตัวตนอย่างภาคภูมิใจ การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพจึงเกิดขึ้น กลุ่มชุมชนได้ผลิตสร้างศิลปวัฒธรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มขึ้นมาในฐานะวัฒนธรรมย่อย เพื่อปฏิเสธการครอบงำจากสายศิลปวัฒนธรรมกระแสหลัก เทศกาลศิลปะขอนแก่นแม่นอีหลี มีจุดมุ่งหมายที่จะเปิดพื้นที่การแสดงออกทางศิลปะแขนงต่างๆ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับชุมชน ในบริบทของศิลปวัฒนธรรมย่อย (subculture) เพื่อให้เกิดการสนทนา แลกเปลี่ยน สื่อสาร ตั้งคำถาม ต่อรอง อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์
ศิลปะได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือกลไกในการรับใช้ฝ่ายปกครอง ในการสร้างความเป็นชาติและรักษาสถานะของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของการสมานฉันท์สามัคคี เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับราษฎร ในทางกลับกันศิลปวัฒนธรรมที่เกิดจากสามัญชนคนธรรมดา กลับเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับการต่อต้านการเมืองแบบผูกขาดการใช้อำนาจหรือเผด็จการ 'กบฎผู้มีบุญ' หรือ 'กบฎผีบุญ' เกิดขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๐๑ ถึง ๑๙๐๒ เกิดจากปฏิกิริยาของคนในท้องถิ่นของอีสานที่ต่อต้านนโยบายของรัฐ ในการเพิ่มภาษี การปฎิรูปการปกครอง การขูดรีด การเอารัดเอาเปรียบ การแทรกแซงวัฒนธรรมจากภาครัฐ นโยบายเหล่านี้ทำให้พวกเขาไม่ได้รับความสงบสุข การต่อต้านนี้ได้แผ่ขยายไปยัง ๑๓ จังหวัดในอีสาน นำโดยแกนนำจำนวน ๖๐ คน ซึ่งได้แสดงเจตนารมณ์และเล่าเรื่องราวของพวกเขาผ่านทางหมอลำ หมอลำเป็นศิลปะการแสดงของคนอีสาน ที่ผสมผสานพิธีกรรม ความเชื่อและการบันเทิงเข้าด้วยกัน หมอลำได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น แม้ว่ากบฎผู้มีบุญจะถูกปราบปรามในช่วงเวลาอันสั้น แต่จิตวิญญานขบถยังคงอยู่ในภูมิภาคอีสานและการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อ การต่อสู้กับความอยุติธรรมต่างๆ เพื่อให้ได้ซึ่งสิทธิและผลประโยชน์ทางการเมือง สังคม
การไม่หยุดนิ่งหรือเพิกเฉยเป็นสิ่งร่วมสมัย ในขณะที่วิถีศิลปวัฒนธรรมหลักของรัฐ กลายเป็นกระแสบริโภคหลัก การปกครองรวมศูนย์จากส่วนกลางที่พยายามควบคุมรวบอำนาจศิลปวัฒนธรรม การกดทับและลดทอนคุณค่า ขนบธรรมเนียมและวิถีชุมชน จนทำให้ผู้คนในท้องถิ่นไม่สามารถที่จะแสดงออกถึงอัตลักษณ์และนิยามตัวตนอย่างภาคภูมิใจ การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพจึงเกิดขึ้น กลุ่มชุมชนได้ผลิตสร้างศิลปวัฒธรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มขึ้นมาในฐานะวัฒนธรรมย่อย เพื่อปฏิเสธการครอบงำจากสายศิลปวัฒนธรรมกระแสหลัก เทศกาลศิลปะขอนแก่นแม่นอีหลี มีจุดมุ่งหมายที่จะเปิดพื้นที่การแสดงออกทางศิลปะแขนงต่างๆ ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับชุมชน ในบริบทของศิลปวัฒนธรรมย่อย (subculture) เพื่อให้เกิดการสนทนา แลกเปลี่ยน สื่อสาร ตั้งคำถาม ต่อรอง อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์
Khonkaen Manifesto : Flashy Flashes #1
Community art, Participatory perspective
6th - 26th October 2018
GF Building, Huak Society, YMD Art Space, Khon Kaen city, Thailand
curated by Thanom Chapakdee
co-curated by Nibhon Khankaew, Ekkalak Napthuesuk, Tanomsuk Chaicom, Arthit Mulsarn, Ugrid Jomyim, weerayut Phosri and Ampanee Satoh
Opening: Saturday, October 6th, 2018
http://khonkaenmanifesto.art/home/
Artists: Wanttanee Siripattananontakul / Mit Jai Inn / Nipan Oranniwesna / Prateep Suthathongthai / Tawan Wattuya / Jedsada Tangtrakulwong / Aottomophagy Von Globe / Chokchai Tukpoe / Tongthat Theparuk / I-na Phuyuthanon / Ampannee Satoh / Guerilla Boys / Padungsak Kochasomrong / Vichukorn Tangpaiboon / Jittima Pholsewok / Rie Teranishi Makino / Ekalux Julsukont / Nuttapol Komkai / Sawanwongse Yawnghwe / Tada Hengsapkul / Sorapote Sewanakunakorn / Arjinjonathan Arjinlit / Woraphan Intaraworapad / Ugrid Jomyim / Vinai Dithajohn / Pitibodee Raveeyant / Nibhon Khankaew / Tanomsak Chaiyakham / Weerayut Phosri / Sermsin Phairin / Pichit Sornkom / Phongsak Akraphittayaumphon / Nutdanai Jitbunjong / Supachai Areerungruang / Pongsak Raknarong / Suchart Sawasdsri / Zakariya Amataya / YMD ART SPACE / Wilawan Wiangthong / Salate Band / Adisak Phupa / Sittikorn Khawsa-ad / Anurak Khotchomphu / Pisitakun Kuntalang / Paisarn Am-Pim / Surasit Mankong / Maytouch Maglumtong / The R.R. Plasalid / Maiiam Collection / Gallery VER: Sad Room / Prakit Kobkijwattana / Albrecht J. Pischel / N'importe quoi / Atithep Chanthet / All I Thitsa Morlam Bus + All Thitsa / All-Thidsa Morlam Band / Patiphan Luecha / Do Not Resuscitate / Mutation Poet / Angkrit Ajchariyasophon
Khonkaen Manifesto: Flash Flashes #1 aims to open up spaces through and for the arts in various mediums and branches engaging with marginalized subcultures and communities. To give voice as well as platform to those exploited, forgotten and displaced by overwhelming main-stream developments whether that be cultural, social, political or economical. Craft, fashion, music, theatre and performances embodied by those at the periphery has long been a medium of their social fabric, weaved into their everyday life, an expression and representation of their livelihoods, their art. For example, Mor-lam: a subcultural performance which passes its wisdom and ideology of the practitioners to the communities through festive music and vivid movements. These contemporary practices are brought to the forefront in Khonkaen Manifesto in hopes that the communities can participate as collaborators and outspokenly express their cultural rights through artistic practices.
Art and culture's role as an ideological state apparatus has long since been crucial to the building and maintaining of nation states, employed to inculcate citizens with its charms for an orderly life, albeit a specific kind of order with a specific agenda. They are used not only to paint a harmonious image for the delight of the people but also animate them in national fervor. Inversely art and culture which looms from the commons is a mode of resistance against these hegemonic powers. As is so historically with the people in the northeastern region of Isaan, when the forces of Neo-Siam overwhelmed and threatened their way of living.
Resistances rose against the central authority during the reign of Rama V in Isaan, manifested as the Phee Boon Rebellion (1901-1902) which spreads over 13 provinces due to indignation in politics, society, and economy that threatened to reshape their way of living. Led by 60 rebels, who proclaimed themselves miracle makers, messiahs and magicians, they expressed their ideologies and tell their tales through Mor-lam, a performance of their cultural heritage passed down through generations, which weaved rituals, beliefs, and entertainment together.
Although the Phee Boon Rebellion was subjugated shortly thereafter, the spirit of resistance continues. Such as that in 1940 during the reign of Rama VIII, dissatisfied with the imposition of the Neo-Siam grand cultural narrative coupled with exorbitant property taxes despite natural disasters as well as arbitrary laws, Nor-lam Sopa Poltri Rebellion once again employs the medium as a method of their resistance. Singing songs that tells of the injustices, he was later arrested that year.
The story of the Mor-lam Sopa Poltri Rebellion and his courage to resist through the art of Mor-lam against state mechanisms has never been told elsewhere, but for those in Khon Kaen, no matter how long time has passed it is still central to their ethos. The Dao Din activist group which formed against political injustices as well as other local communities as a response to potash mining were arrested. Despite that, today forms of resistance continues. Rapid development and modernization of the area sees increasing problems of exploitation in natural resources and establishments of unfair economic models all the whilst diminishing the rights of the citizens, yet still more and more rise up.
Khonkaen Manifesto: Flash Flashes #1 inherits the rebellious spirit of the Mor-lam as well as its potential, to carry on this spirit and aesthetics of resistance through artistic and cultural approaches, and to address issues pertinent to the public - The very issues which were eclipsed and suppressed by enforced developments and their allegiance to unbridled economic modernization always comes at the cost of a marginalized community. That is the predicament of Khon Kaen people, drowned under ceaseless waves of what one calls progress.
สนามภาพ
๑๗ สิงหาคม - ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
River City Bangkok
ห้อง ๒๐๖ ชั้น ๒ ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้แบงค็อก
คิวเรเตอร์ สืบแสง แสงวชิระภิบาล
ศิลปิน เกศ ชวนะลิขิกร / เจษฎา ตั้งตระกูลวงศ์ / นาวิน ตันธนะเดชา / สนิทัศน์ ประดิษฐ์ทัศนีย์ / สุจินต์ วัฒนวงศ์ชัย
นิทรรศการ "สนามภาพ" (Visual Field : Senses & Transfigurtions) อภิปรายมุมมองของการมองเห็น ผ่านประสบการณ์ข้อมูลทางภาพ การสัมผัส ถ่ายเทสสารสู่กระบวนการทางศิลปะร่วมสมัย "สนามภาพ" หรือสนามสายตา กล่าวคือ พื้นที่ของภาพจากมุมมองมนุษย์ผ่านดวงตาทั้งสองข้าง (ซ้าย ขวา หรือเรียกว่า combination of visaul field) ที่ทำงานสอดประสานกัน เพื่อนำข้อมูลทางภาพเข้าสู่การแปลงผลลัพธ์เชิงข้อมูลทางสมอง การตอบสนองเชิงผลกระทบทางจิตใจ ตรรกะและการแสดงออก การนำเข้าทางข้อมูลภาพ และการถ่ายทอดภาพผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ เป็นลักษณะการทำงานของศิลปินตั้งแต่ในอดีตกระทั่งปัจจุบัน หากกระบวนการรับรู้ข้อมูลทางภาพ และการถ่ายทอดมีความแตกต่างกันออกไปจากวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ตลอดจนสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคนั้นๆที่ศิลปินซึมซับ
นิทรรศการ "สนามภาพ" สร้างสภาวะปรากฎการณ์จำลองทางภาพโดยศิลปินทั้งห้าคน ผ่านเลนส์มุมมองเชิงปัจเจกบุคคล การรับรู้เชิงสนามภาพของศิลปิน ก่อเกิดกระบวนการการเรียบเรียงผลกระทบทางความรู้สึก จินตนาการ ตลอดจนความคิดเชิงเหตุและผล เปลี่ยนถ่ายข้อมูลทางภาพเข้าสู่กระบวนการสร้างสรรค์ร่วมสมัย ทั้งรูปแบบจิตรกรรมนามธรรม ศิลปะจัดวางและวัตถุทางศิลปะ อย่างไรก็ตาม นิทรรศการ "สนามภาพ" สามารถแสดงสาระเชิงประจักษ์ของสภาวะศิลปะไทยร่วมสมัย ผ่านรูปแบบและความคิดทางศิลปะ ที่เชื่อมโยงเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจ ความเชื่อและคุณค่าความหมายของชีวิต ธรรมชาติ ที่คงปรากฎอยู่ในสังคมร่วมสมัยไทย
August 30 - November 30, 2018
River City Bangkok
curated by Suebsang Sangwachirapiban
Artists: Kade Javanalikhikara, Jedsada Tangtrakulwong, Navin Tantanadaecha, Sanitas Praddittasnee and Sujin Wattanawongchai
Opening Reception: August 17th, 6pm
Opening Reception: August 17th, 6pm
Visual Field : Senses & Transfigurations, an exhibition expressing the conceptualisation of data visualisation; this includes the perception of visual information, sensing of the image, and the rationale behind the creation of each piece and transformation into contemporary art practices. The conceptualisation is reached through each individual's personality, experience and interpretation.
The artworks manifest each artist's processing, interpretations, and composition of their artistic visions. Fourteen selected pieces will reflect the visualisation of current subjects and situations - globalisation and regionalism. While witnessing these artworks and trying to decipher the meanings, audiences are also invited to recognize their visual processes and to share their experience and interpretation of what they see.
This selection of Thai contemporary art is evidence and a reflection of the society and its development of art in these current times - reflecting the society's identity, changes, beliefs, notion and spirit, and what it means to be "contemporary" now.
Ties of History: Art in Southeast Asia
8 August - 6 October, 2018
Metropolitan Museum of Manila, University of the Philippines Vargas Museum and Yuchengco Museum, Manila, The Philippines
curated by Patrick D. Flores
Artists: Amanda Heng / Roberto Feleo / Anusapati / Do Hoang Tuong / Chris Chong Chan Fui / Yasmin Jaidin / Min Thein Sung / Vuth Lyno / Jedsada Tangtrakulwong / Savanhdary Vongpoothorn
Advisory Teams: Ahmad Mashadi, Khim Ong, Loredana Pazzini-Paracciani and Grace Samboh.
Opening Reception :
August 8, 5pm - 9pm at the Metropolitan Museum of Manila, Manila, The Philippines
August 9, 5pm - 9pm at the Yuchengco Museum, Manila, The Philippines
August 10, 5pm - 9pm at the University of the Philippines Vargas Museum, Manila, The Philippines
https://web.facebook.com/tiesofhistory
Downfall at the Metropolitan Museum of Manila
Deserted Buildings at the Yuchengo Museum
Border at the University of the Philippines Vargas Museum
"Ties of history" is a phrase taken from a document signed by ASEAN's founding members on August 8, 1967. The document describes "a region already bound together by ties of history and culture." A region that is "conscious that in an increasingly independent world, the cherished ideals of peace, freedom, social justice, and economic well-being are best attained by fostering good understanding, good neighbourliness, and meaningful cooperation among the countries of the region." The document gave birth to the regional organization, which taken as a collective is the world's 5th largest economy.
Ties of History: Art in Southeast Asia is a survey of contemporary art, on the one hand. On the other, it is a diligent study of a particular practice. The project selects three works of each artist from the ASEAN countries to be exhibited in three institutions. This enables the exhibition to present a more in-depth look into the interests of the artist and allows the audience from different parts of the city to view the exhibition.
As Flores, who was recently appointed as Artistic Director of Singapore Biennale 2019, explains, "this undertaking...draws attention to the thoughtful and sensitive process of artistic transformation and maturity and tries to avoid the tendency of survey exhibitions to merely select the most popular or the most accessible."
"It also reminds us that artistic practise is not fully formed but rather gleaned in the condition of constant forming that the project endeavors to curate," he adds.
The project is presented by the National Commission for Culture and the Arts (NCCA) through the Dalubhasaan Para sa Edukasyon sa Sining at Kultura (DESK) with the support of the Office of Senator Loren Legarda.
Artist Talk & Round Table Discussion
Sat. August 11st 10:00 am - 5:30 pm
at Metropolitan Museum of Manila
10:00am - 12:00pm
Amanda Heng, Roberto Feleo and Chris Chong Chan Fui
1:30pm - 3:30pm
Anusapati, Savnhdary Vongpoothorn and Jedsada Tangtrakulwong
3:45pm - 5:30pm
Min Thein Sung and Lyno Vuth
Q&A are hosted by Khim Ong and Patrick Flores
นิทรรศการ "ฝากไว้ในแผ่นดิน 140 ปี บี.กริม"
10 มิถุนายน - 20 มิถุนายน 2561
ห้องนิทรรศการชั้น 8 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
คิวเรเตอร์ โสมสุดา เปี่ยมสัมฤทธิ์
ศิลปิน ธวัชชัย พันธุสวัสดิ์ /วันทนีย์ ศิริพัฒนานันทกูร / คธา แสงแข / กฤช งามสม / อิ่มหทัย สุวัฒนศิลป์ / ปานพรรณ ยอดมณี / ดุษฎี ฮันตระกูล / เจษฎา ตั้งตระกูลวงศ์ / ชูศักดิ์ ศรีขวัญ / สุรเจต ทองเจือ / ถกล ขาวสอาด / อานนท์ ไพโรจน์ / ธิติพร โกธรรม / ฐิติรัตน์ สกุลตันติเมธา / พินรี สัณฑ์พิทักษ์
นิทรรศการ "ฝากไว้ในแผ่นดิน 140 ปี บี.กริม" เป็นโครงการที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จัดร่วมกับบริษัท บี.กริม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อระดมทุนสนับสนุนการดำเนินงานของหอศิลปกรุงเทพฯ โดยจัดนิทรรศการในวาระครบรอบ 140 ปีของการดำเนินธุรกิจของ บี.กริม แบ่งเป็น 2 ส่วน
นิทรรศการหลักฐานประวัติศาสตร์การติดต่อสื่อสารทางไปรษณีย์ บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย - เยอรมันผ่านคอลเล็คชั่นตราไปรษณียากร ไปรษณียบัตรและซองจดหมายและนิทรรศการผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ตีความและได้รับแรงบันดาลใจจากความโอบอ้อมอารี อันเป็นแนวคิดหลักในการดำเนินธุรกิจของบี.กริม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
In the Kingdom, 140th Anniversary of B.Grimm
June 10 - 20, 2018
Main Gallery 8th floor, Bangkok Art and Cultural Center
curated by Somsuda Piamsamrit
Artists : Tawatchai Puntusawasdi, Wantanee Siripattananuntakul, Kata Sangkhae, Krit Ngamsom, Imhathai Suwatthanasilp, Pannaphan Yodmani, Dusadee Huntrakul, Jedsada Tangtrakulwong, Chusak Srikwan, Surajate Tongchua, Thakol Khaosa-ad, Anon Pairot, Thitiporn Kotham, Titirat Skultantimayta and Pinaree Sanpitak
The exhibition "In the Kingdom, 140th Anniversary of B.Grimm" is a special collaboration project between Bangkok Art and Cultural Center (BACC) and B.Grimm, which aims to raise fund for BACC's activities. This project is initiated by B.Grimm to celebrate its 140th anniversary by supporting the art scene in Thailand. The exhibition, consisting of 2 sections, includes
- Postal history exhibition which narrated B.Grimm's history along with the history of diplomatic relations between Thailand and Germany through the empirical evidence such as correspondence letters, postcard and postal stationeries in collection of B.Grimm.
- Contemporary Art Exhibition interpreted and inspired by the corporate philosophy of B.Grimm.
pictured by Yingyong Wongtakee
Eclipse
December 1, 2017 - January 25, 2018
H Gallery Bangkok
Curated by Brian Curtin
Opening Reception : Thursday 30 November 2017 from 18:00 until 20:00
Eclipse transforms H gallery into an immersive experience with sharp contrasts of light and dark. Exploring a central concern with wayfinding, where experience segues into metaphor and vice-versa, visitors move through the darkened interior and encounter spot-lit icons and images of disappearance and loss. And the artist has replaced the gallery's lighting with low hanging bulbs so the means of recognition become precarious objects of interest.
Moving through darkness towards light carries profound metaphysical implications but the installation allows for a subtle politics of material interest. The central part of Eclipse is nearly one hundred blackened books that the artist created as a result of damage caused to his belongings due to a flooding of his storage space in Bangkok during October of last year. That month was a momentous one for Thailand as it saw the passing of beloved Rama IX. Drawing an analogy between personal and national experience due to the forces of time and nature, Jedsada's coating of the books with black ink represents a numbness and the speechlessness that ensues from unexpected loss. The blackened books preserve such and thus possess an ambivalence about possible futures; and the colour black carries manifold significance.
Last year also saw the artist relocate to Chiang Mai. A series of photographs depict the rough-hewn hinterlands of the city, pathways into unknown territories and the loss of securities. These frame the strange and unknown as Jedsada continues to refract personal experience through anxious realities that face his country. Eclipse includes a desk with his current works-in-progress and offers speculations on new futures.
Thailand's highly regulated order of public symbolism has just completed a particularly strenuous year. Wayfinding amidst a darkened present carries an ambiguity that can be both exhilarating and ominous. Eclipse acutely captures this ambiguity and, somewhat urgently, insists on the importance of the artist for critical reflection on relations between experience, understanding and the politics of aesthetics.
Monologue Dialogue 4 : Mysticism and Insecurity
3 May - 1 July 2017
The Koppel Project Baker Street, London
Curated by Andrew Stahl; co-curated by Hannah Thorne
Artists: Andrew Stahl, Atsuko Nakamura, Be Takerng Pattanopas, Eric Bainbridge, Jedsada Tangtrakulwong, Kai Syng Tan, Miranda Housden, Nathaniel Rackowe, Neil Jeffries, Nipan Oranniwesna, Panya Vijinthanasarn, Rana Begum, Sansern Milindasuta, Tintin Cooper, Tuksina Pipitkul, Yvonne Feng
Private View: 3 May 2017 from 6:30pm - 9pm
Talks: 4 May 2017 from 6:30pm - 9pm
The Monologue Dialogue series has grown from a British Council initiated and funded residency and exhibition in Bangkok, Thailand. From then onwards a series of exhibitions has taken place in Bangkok and London with an evolving and expanding group of participating artists. The last exhibition was in 2014 at the Bangkok Art and Cultural Centre, Thailand. The key focus for the artists has been to install or construct work in a space/gallery together and in some way to reflect on the transcultural nature of today's discourse for artists.
The title of the exhibition Mysticism and Insecurity can refer to perceptions of the mystical and magical nature of human life across all cultures; insecurity however can refer to the inability of art to fully express and realise these transcendent ideas for multiple reasons, primarily though because of the world's materiality, because of materials being resistant, dragging against intentions even for the use of language, and symbolism. This resistance is what is most ecstatic and interesting, where the material itself whether it is paint, objects, performance or virtual media contains the magic and frailty of our existence by being resistant to manipulation. The one thing that unites us all is our materiality and a sense of 'is-ness'.
Twenty Foot Equivalent Unit (TEU)
January 27 -29, 2017
Gasthof Worringer Platz, Düsseldorf, Germany
Artists; REICHRICHTER (Rebekka Reich and Marcus Vila Richter), Bita Razavi, Jedsada Tangtrakulwong, Julien Crepieux, Laurits Svensen, Meng Huang, Taiyo Kimura
Opening Reception: Friday, 27 January 2017, 5 - 9 p.m.
At the center of a dark exhibition space three monitors stand at medium height in a line/ side by side. On there screen six video art works are shown, temporally one after the other, spatially moving from right to left. The sound of each video work will be audible as long as the film is displayed on the center screen.
Vis-à-vis to this techno image triptych is a seating (without backrest) for 3-4 people. In between, in front of the seating a cylinder object made out of paper soaked into black ink hangs above a small heap of cinder. Behind the monitors a wall drawing compromises a map showing the outlines of six countries, the locations and names of seven cities and different kinds of relationship lines. The lines mirror three types of places: where we met the participating artists of the video works, where these artists come from and the places to which their video works are related to.
Vis-à-vis to this techno image triptych is a seating (without backrest) for 3-4 people. In between, in front of the seating a cylinder object made out of paper soaked into black ink hangs above a small heap of cinder. Behind the monitors a wall drawing compromises a map showing the outlines of six countries, the locations and names of seven cities and different kinds of relationship lines. The lines mirror three types of places: where we met the participating artists of the video works, where these artists come from and the places to which their video works are related to.